ครั้งที่ 2 วันที่ 15/11/56
บันทึกการเรียนรู้
1. เกณฑ์คะแนนในรายวิชามีดังนี้
จิตพิสัย 10 คะแนน
งานเดี่ยว(วิจัย) 10 คะแนน
งานกลุ่ม(นำเสนอ) 20 คะแนน
Blogger(บันทึกอนุทิน) 20 คะแนน
สรุปโทรทัศน์ครู 20 คะแนน = รวมคะแนนเก็บ 70 คะแนน
สอบกลางภา 15 คะแนน
สอบปลายภาค 15 คะแนน =รวมคะแนนสอบ 30 คะแนน
2. แบ่งหัวข้อในการนำเสนองานกลุ่มมีดังนี้
[1.] เด็กสมองพิการ Cerebral Palsy (CP)
[2.] เด็กดาวน์ซินโดม
[3.] เด็กออทิสติก
[4.] เด็กสมาธิสั้น
[5.] เด็กภาวะการเรียนบกพร่อง Learning Disorders (LD)
3. เนื้อหาสาระที่เรียนมีดังนี้
ความหมายของเด็กพิเศษ
[1.] ทางการแพทย์
เรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า เด็กพิการ ผิดปกติ บกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ ทางกาย ทางสติปัญญา ทางจิตใจ
[2.] ทางการศึกษา
เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตนเอง จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติ ทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
[3.] สรุป เด็กพิเศษคือ
-เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร จากการให้การช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
-มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย
-จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น การช่วยเหลือ การบำบัด การฟื้นฟู
-การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
[1.] กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง IQ สูงกว่า 120
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"
[2.] กลุ่มเด็กที่มีลัษณะทางความบกพร่อง
กระทรวงศึกษาธิารได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท (จัดเพื่อคัดแยกเด็กให้เหมาะสมกับสถาบันที่เขาควรจะได้รับการศึกษา)
1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
3. เด็กบกพร่องทางการเห็น
4. เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
8. เด็ฏออทิสติก
9. เด็กพิการซ้ำซ้อน
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา Children With Intellectual Disabilities
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบกับเด็กในอายุระดับเดียวกัน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
[1.] เด็กเรียนช้า
-สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
-เรียนล่าช้ากว่าปกติ
-ขาดทักษะการเรียนรู้
-บกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย
-มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
>ปัจจัยภายนอกได้แก่ เศรษฐกิจครอบครัว เข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ การสร้างเสริมประสบการณ์ วิธีสอนไม่มีประสิทธิภาพ สภาวะอารมณ์ของคนในครอบครัว
>ปัจจัยภายในได้แก่ พัฒนาการช้า
[2.] เด็กปัญญาอ่อน
-เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
-แสดงลักษณะเฉพาะ คือ IQต่ำ
-ความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-มีความจำกัดทางด้านทักษะ
-มีพัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
-มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามความบกพร่องทางสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรัษาพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัด การช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรเบื้องต้นง่ายๆ
((เด็ก 2 กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. Custodial Mental Retardation))
3.เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49
พอฝึกและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า ((T.M.R. Trainable Mentally Retardation))
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
เรียนในชั้นประถมได้ ฝึกงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วไปว่า ((E.M.R. Educable Mentally Retardation))
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด/พูดได้ไม่สมวัย
-ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
-ทำงานช้า
-รุนแรงไม่มีเหตุผล
-อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-ช่วยตัวเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน Children Hearing Impaired
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือสูญเสียทางการได้ยิน เป็นเหตุให้ฟังเสียงต่างๆไม่ชัดเจน แบ่งเป็น 2 ประเภท
[1.] เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟังจำแนกได้ 4 กลุ่มดังนี้
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบ เสียงจากที่ไกล
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง3-5ฟุต ไม่เห็นหน้าผู้พูด
-จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
-มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบา เสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
-เด็กจะมีปัญหาการรับฟังเข้าใจคำพูด
-เมื่อพูดกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
-มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสีบงพร้อมกัน
-มีพัฒนาการทางภาษา และการพูดช้ากว่าปกติ
-พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนก็ไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
-ได้ยินเฉพาะเสียงที่ใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
-การพูดด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
-เด็กจะมีปัญหาการแยกเสียง
-เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
[2.] เด็กหูหนวก
-เด็กที่สูญเสียการได้ยินมาก ถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
-เครื่องช่วยฟัง ไม่สามารถช่วยได้
-ไม่สามารถเข้าใจ หรือใช้ภาษาพูดได้
-ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
-ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
-พูดด้วยเสียงแปลง มักเปล่งเสียงสูง
-พูดด้วยเสียงต่ำ หรือเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
-เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
-รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
-มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
เด็กบกพร่องทางการเห็น Children With Visual Impairment
-เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
-มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
-สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา (คนปกติ120องศา)
แบ่งเป็น 2 ประเภท
[1.] เด็กตาบอด
-เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
-ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆในการเรียนรู้
-มีสายตาข้างดี มองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาถึงบอดสนิท
-มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
[2.] เด็กตาบอดไม่สนิท
-เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
-สามารถมองเห็นได้บ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
-เมื่อทดสอบสายตาข้างดี จะอยู่ในระดับ 6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200
-มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
-เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
-มองเห็นสีที่ผิดไปจากปกติ
-มักบ่นว่าปวดหัว คลื่นใส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
-เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
-ตาและมือไม่สัมพันกัน
-มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต