วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ครั้งที่3 วันที่ 22/11/ 56


บันทึกการเรียนรู้

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairment)


-เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
-อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
-มีปัญหาทางระบบประสาท (ประสาทสมอง)
-มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท

1.อาการบกพร่องทางร่างกาย
                1.1 ซีพี cerebral palsy (พิการทางสมอง)
                -เป็นอัมพาทเนื่องจากระบบประสาทและสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลาย ก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
                -การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน
                อาการ
                -อัมพาต เกร็งแขนขา หรือชัก (Spastic)
                -อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Athetoid)
                -อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia)
                -อัมพาตตึงแข็ง (Riggid)
                -อัมพาตแบบผสม (Mixed)
                1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง Muscular Distrophy
                -เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้นเสื่อมสลายตัว
                -เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
                -จะมีความพิการซ้อนในภายหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
                1.3 โรคทางระบบกล้ามเนื้อ Orthopedic
                -ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก(club food) กระดูกข้อต่อสะโพกเคลื่อนอัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
                -ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ(Infection) เช่น วัณโรค กระดูก หลังโก่ง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรัง มีหนอง เศษกระดูกผุ
                -กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ
                1.4 โปลิโอ Poliomyelitis
                -มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
                -ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
                1.5 แขนขาด้วนแต่กำเนิด Limb Deficiency
                1.6 โรคกระดูกอ่อน OsteugeneyisImperfeta
2. ความบกพร่องทางสุขภาพ
                2.1 โรคลมชัก Epilepsy
                -เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
                                (1.) ลมบ้าหมู Grand Mal
                                -เมื่อเกดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็ง หรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
                                (2.) การชักในช่วงเวลาสั้นๆ Petit Mal
                                -เป็นอาการชักช่วงระยะเวลาสั้นๆ 5-10 วินาที
                                -เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
                                -เด็กอาจจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
                                (3.) การชักแบบรุนแรง Grand Mal
                                -เมื่อเกดอาการชักเด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นหาย และนอนหลับไปชั่วครู่
                                (4.) อาการชักแบบ Partial Complex
                                -เกิดอาการเป็นระยะ
                                -กัดริมฝีปาก ไม่รู้ตัว ถูตามแขนขา เดิกนไปมา
                                -บางคนอาจเกิดความโกรธ หรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก
                                (5.) อาการไม่รู้สึกตัว Focal Partial
                                -เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
                2.2 โรคระบบทางเดินหายใจ
                2.3 โรคเบาหวาน Diabetes mellitus
                2.4 โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ Rheumatoid arthritis
                2.5 โรคศีรษะโต Hydrocephalus
                2.6 โรคหัวใจ Cardiac Conditions
                2.7 โรคมะเร็ง Cancer
                2.8 เลือดไหลไม่หยุด Hemophilia
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
-มีปัญหาที่เกี่ยวกับการทรงตัว
-ท่าเดินคล้ายกรรไกร
-เดินขากระเผลก หรือเดินอืดอาด เชื่องช้า
-ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
-มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
-หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปาก หรือปลายนิ้ว

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 


-พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อนการพูดไม่ได้ดั่งตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด
1. ความผิดปกติด้านการออกเสียง
                -ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม
                -เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
                -เอาเสียงหนึ่งมาแทนเสียงหนึ่ง เช่น กวาน เป็น ฝาด
2. ความผิดปกติด้านจังหวะ เวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง
3. ความผิดปกติด้านเสียง
                -ระดับเสียง
                -ความดัง
                -คุณภาพของเสียง
4. ความผิดปกติทางการพูดและภาษา อันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ Aphasia
                4.1 Motor Aphasia
                -เด็กที่เข้าใจคำถาม หรือคำสั่ง แต่พูดไม่ได้ออกเสียงลำบาก
                -พูดช้าๆ พอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้
                -พูดไม่ถูกไวยกรณ์
                4.2 Wernicke’s aphasia
                -เด็กที่ไม่เข้าใจคำถามหรือคำสั่ง ได้ยินแต่ไม่เข้าใจคววามหมาย
                -ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้คำผิดๆ หรือใช้คำอื่นซ้ำไม่มีความหมายมาแทน
                4.3 Conduction aphasia
                -เด็กที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด เข้าใจคำถามดี แต่พูดตามหรือบอกสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับ อัมพาตของร่างกายซีกขวา
                4.4 Nominal aphasia
                -เด็กที่ออกเสียงได้เข้าใจคำถามดี พูดตามได้ แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้เพราะลืมชื่อ บางทีก็ไม่เข้าใจความหมายของคำ มักเกิดร่วมไปกับ Gerstmann’s Syndrome
                4.5 Global aphasia
                -เด็กที่ไม่เข้าใจทั้งภาษษพูดและภาษาเขียน
                -พูดไม่ได้เลย
                4.6 c
                -เด็กที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถาม หรือเขียนชื่อวัตถุก็ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann’s Syndrome
                4.7 Montoragraphia
                -เด็กที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้ เขียนตามคำบอกไม่ได้
                4.8 Cortical alexia
                -เด็กที่อ่านไม่ออกเพราะไม่เข้าใจภาษา
                4.9 Motor alexia
                -เด็กที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมายแต่อ่านออกเสียงไม่ได้
                4.10 Gerstmann’s syndrome
                -ไม่รู้ชื่อนิ้ว finger agnosia
                -ไม่รู้ซ้ายขวา allochiria
                -คำนวณไม่ได้ acalculia
                -เขียนไม่ได้ agraphia
                -อ่านไม่ออก alexia
                4.11 Visual agnosia
                -เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
                4.12 Auditory agnosia
                -เด็กที่ไม่มีคว่มบกพร่องทางการได้ยิน แต่แปลความหมายของคำ หรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
-ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
-ไม่อ้อแอ้ภายใน 10 เดือน
-ไม่พูดภายในอายุ  2 ขวบ
-หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
-ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
-หลัง 5 ขวบเด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
-มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก

-ใช้ท่าทางในการสื่อคามหมาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น